เกมนี้เพิ่งเริ่มได้ 5 นาที มาดริดต้องเปลี่ยนตัวเมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริง ทำให้คาร์บาฆาลถูกส่งลงมาแทน แต่กลับกลายเป็นคนสร้างปัญหาในภายหลัง

มาดริดเกือบขึ้นนำจากจังหวะโอเวอร์เฮดคิกของเอ็มบัปเป้ แต่กลับเป็นมาร์กเซยที่ได้ประตูนำ นาที 22 เมื่อ อาร์ด้า กูเลอร์ เสียบอลกลางสนามให้ เมสัน กรีนวูด ก่อนแทงทะลุให้ ทิโมธี เวอาห์ ซัดผ่านมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ อย่างเด็ดขาด

เอ็มบัปเป้กู้สถานการณ์

เจ้าถิ่นพยายามบุกต่อเนื่อง แต่ติดเซฟสุดหนึบของ เฆโรนิโม่ รุลลี นายด่านมาร์กเซย ที่โชว์ซูเปอร์เซฟหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม นาที 28 จอฟฟรีย์ กงด็อกเบีย พลาดทำฟาวล์ใส่โรดรีโก้ในเขตโทษ และเอ็มบัปเป้ยิงไม่พลาด ตีเสมอ 1-1

คาร์บาฆาลเดือด-โดนแดง

เกมเดือดขึ้นเรื่อย ๆ นาที 72 คาร์บาฆาลถูกไล่ออกจากสนาม หลังใช้ศีรษะโขกใส่รุลลี ทำให้มาดริดเหลือ 10 คน และสถานการณ์เริ่มกดดัน

แต่ในนาที 81 เจ้าถิ่นได้จุดโทษอีกครั้ง เมื่อบอลจากการลากเลื้อยของ วินิซิอุส จูเนียร์ ชนเท้าแนวรับมาร์กเซย ก่อนกระดอนโดนแขนของ ฟาคุนโด้ เมดิน่า กรรมการชี้จุดโทษ และเอ็มบัปเป้จัดการสังหารไม่พลาด ซัดประตูชัย 2-1

เสียงหลังเกม

เอ็มบัปเป้กล่าวว่า: “มันเป็นคืนที่ยากลำบากเพราะเราเหลือผู้เล่น 10 คน แต่เราพิสูจน์แล้วว่านี่คือสปิริตของเรอัล มาดริดในแชมเปียนส์ลีก เราเชื่อว่าเราสามารถชนะได้ทุกทีมในเบร์นาเบว”