แต่เพียงหนึ่งปีให้หลัง เส้นทางของไมนูกลับพลิกผันอย่างสิ้นเชิง ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม เขากลายเป็นเพียงตัวสำรอง หลังถูกมองว่าไม่มีพละกำลังพอสำหรับแดนกลาง และไม่เร็วพอจะเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 ตามระบบ 3-4-3 ที่กุนซือชาวโปรตุเกสวางไว้

อโมริมถึงขั้นออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมอุ่นเครื่องกับลีดส์ว่า “เราขาดความเร็ว โดยเฉพาะตรงกลางสนาม ทำให้ยากจะเอาชนะและพาบอลขึ้นหน้า” พร้อมทั้งหันไปทาบทาม คาร์ลอส บาเลบา ของไบรท์ตัน แม้จะติดปัญหาค่าตัวมหาศาลกว่า 100 ล้านปอนด์ จนดีลแทบเป็นไปไม่ได้

การเสริมทัพของยูไนเต็ดในตลาดซัมเมอร์นี้ก็ถูกวิจารณ์ไม่น้อย หลังทุ่มเงินกว่า 200 ล้านปอนด์คว้า มาเตอุส คุนญา, ไบรอัน เอ็มเบวโม่ และ เบนจามิน เซสโก้ แต่ยังไม่แก้ปัญหาตรงจุดสำคัญคือแดนกลางที่ขาดพลังและความเร็ว ขณะที่ไมนูถูกลดบทบาทลงเรื่อย ๆ

ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ดาวรุ่งวัย 19 ปีต้องเจอกับอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อถึงสองครั้ง รวมเวลากว่า 80 วันนอกสนาม ส่งผลให้เสียตำแหน่งตัวจริง ทั้งยังมีปัญหาเรื่องสัญญาฉบับใหม่ โดยเจ้าตัวเรียกร้องค่าเหนื่อยราว 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่สโมสรยื่นให้เพียง 100,000 ปอนด์

ไมนูจบฤดูกาลด้วยเพียง 4 เกมตัวจริงจาก 12 นัดสุดท้าย และไม่ได้ลงสนามเลยในยูโรปาลีก ซึ่งอโมริมให้ความสำคัญมากที่สุด ขณะนี้ตำแหน่งในแดนกลางเต็มไปด้วย บรูโน แฟร์นันเดส, มานูเอล อูการ์เต และอาจรวมถึงคาเซมิโร่ ทำให้โอกาสคืนตัวจริงแทบเป็นไปไม่ได้

จากเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งถูกสโคลส์ยกให้เป็น “ซีดานคนใหม่” วันนี้ค็อบบี้ ไมนู ต้องเผชิญทางแยกครั้งสำคัญของอาชีพค้าแข้ง และอนาคตของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม.