ฤดูกาลที่ผ่านมา เปแอสเชกวาด “ทริปเปิลแชมป์” ทั้งลีกเอิง, เฟรนช์ คัพ และแชมเปียนส์ลีก พร้อมสร้างสถิติถล่ม อินเตอร์ มิลาน 5-0 ในนัดชิง UCL ซึ่งเป็นชัยชนะขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์รอบชิงยุโรป ก่อนจะโชว์ฟอร์มสุดโหดในสหรัฐฯ เอาชนะทั้งแอตเลติโก มาดริด, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก

แม้พลาดการคว้า 7 แชมป์ในปีปฏิทินเดียว หลังแพ้เชลซี 0-3 ในรอบชิงชนะเลิศสโมสรโลก แต่พวกเขายังมีลุ้นทำสถิติร่วมคว้า 6 แชมป์ในปีเดียว หากชนะสเปอร์ส และต่อด้วยศึกฟีฟ่า อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ในเดือนธันวาคม

ขุมกำลังอายุน้อยจนน่ากลัว

ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ลงสนามนัดชิง UCL ด้วยอายุเฉลี่ยเพียง 25 ปี 96 วัน นำโดยสามแนวรุกสุดจี๊ด อุสมาน เดมเบเล่, เดซิเร่ ดูเอ้ และ ควิชา ควารัตส์เคเลีย เสริมด้วยมิดฟิลด์จอมขยันอย่าง ชูเอา เนเวส, วิตินญ่า และ ฟาเบียน รุยซ์ แผงหลังมี นูโน เมนเดส กับ อัชราฟ ฮาคิมี่ ทำหน้าที่แบ็กบุก ส่วนเซ็นเตอร์ใช้ มาร์กินญอส คู่ วิลเลียน ปาโช่

สูตรสำเร็จของเอ็นริเก้: ทิ้งซูเปอร์สตาร์ ดันดาวรุ่ง

เอ็นริเก้เปลี่ยนแนวทางจากยุค เนย์มาร์-เมสซี-เอ็มบัปเป้ มาสร้างทีมด้วยนักเตะหนุ่มฝีเท้าจัดอย่าง เนเวส, ดูเอ้, ปาโช่ และควารัตส์เคเลีย โดยเฉพาะ เดมเบเล่ ที่ถูกจับยืนกองหน้าตัวเป้าตั้งแต่เดือนธันวาคม แล้วระเบิดฟอร์มยิง 18 ประตูใน 10 นัด จบฤดูกาลด้วยผลงาน 35 ประตู 16 แอสซิสต์ พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวลีกเอิงและแข้งยอดเยี่ยม UCL

เป้าหมายสู่ตำนาน

หากเก็บชุดนักเตะหลักไว้ได้อีก 5-6 ปี เปแอสเชอาจสร้างยุครุ่งเรืองแบบยาวนานเหมือน เรอัล มาดริด, บาเยิร์น หรือบาร์เซโลนา อย่างไรก็ตาม ความล้าจากการลงเล่น 65 นัดในฤดูกาลที่แล้ว อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องระวัง

ศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ระหว่าง เปแอสเช กับ สเปอร์ส จะเป็นอีกบททดสอบ ว่าแชมป์ยุโรปทีมล่าสุดพร้อมเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ต่อไป หรือจะสะดุดซ้ำรอยเกมแพ้เชลซีในสโมสรโลก