แมนฯ ยูไนเต็ดจ่ายไหวได้ยังไง? เฉลยเบื้องหลังดีล เบนจามิน เชสโก้

แม้จะมีข่าวลบเกี่ยวกับการเงินของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงาน หรือการยกเลิกอาหารกลางวันฟรีสำหรับทีมงาน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาในการเสริมทัพด้วยงบมหาศาล โดยเฉพาะการเดินหน้าคว้าตัว เบนจามิน เชสโก้ กองหน้าจากแอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งอาจทำให้ยอดใช้จ่ายรวมในซัมเมอร์นี้แตะ 200 ล้านปอนด์
คำตอบอยู่ที่กลยุทธ์ทางการเงินแบบสร้างสรรค์ และภาพลักษณ์ของหนี้สินที่ดูแย่กว่าความเป็นจริง
ใช้จ่ายแบบผ่อนระยะยาว – สูตรลับของดีลมหาศาล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอล คีแรน แมกไกวร์ ชี้ว่า ยูไนเต็ดยังคงเป็นแบรนด์ฟุตบอลอันดับ 1 ของอังกฤษ และมีพลังเชิงพาณิชย์สูงมาก การใช้กลยุทธ์ผ่อนจ่ายค่าตัวนักเตะเป็นรายปี เช่นดีลของ มาเตอุส คุนญ่า และ บรีย็อง เอ็มเบวโม่ ซึ่งรวมกันกว่า 130 ล้านปอนด์ ช่วยให้สโมสรควบคุมงบประมาณได้ โดยคาดว่า ดีลของ เบนจามิน เซสโก้ ก็จะใช้วิธีเดียวกัน
ปล่อยยืม-ขายขาด เพื่อเปิดทางเสริมทัพ
การปล่อย มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปบาร์เซโลนาแบบที่อีกฝ่ายรับค่าเหนื่อยเต็มจำนวน และการได้ค่าชดเชย 5 ล้านปอนด์จากเชลซีหลังยกเลิกดีล เจดอน ซานโช่ รวมถึงส่วนแบ่งจากการขาย แอนโธนี่ เอลังก้า, อัลบาโร การ์เรราส และแม็กซี่ โอยเดเล รวมอีกกว่า 15 ล้านปอนด์ ล้วนเป็นส่วนช่วยเติมสภาพคล่อง
นอกจากนี้ ยังมีแผนขายนักเตะในกลุ่ม "bomb squad" หรือกลุ่มที่ไม่อยู่ในแผนของกุนซือ อาทิ อเลฮานโดร การ์นาโช่ เพื่อหารายได้เสริมก่อนตลาดปิด
รายได้ยังแข็งแรง แม้ผลงานในสนามไม่สู้ดี
ยูไนเต็ดเพิ่งผ่านฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก แต่รายได้หลักยังเติบโต โดยคาดการณ์กำไรหลักปีนี้จะอยู่ที่ 180-190 ล้านปอนด์ สูงกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า และยังคงมีรายได้จากสนามสูงสุดในประเทศ รวมถึงรายได้เชิงพาณิชย์ในระดับโลก
แม้จะมีตัวเลขขาดทุน 131 ล้านปอนด์ในปี 2023-24 แต่ส่วนใหญ่มาจากค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายจากการเทกโอเวอร์ของ INEOS ซึ่งไม่ถูกนับรวมในกฎ PSR
สรุป ไม่ได้รวยที่สุด แต่ยังแข็งแกร่งที่สุดในด้านแบรนด์
แมกไกวร์สรุปว่า “ยูไนเต็ดไม่ได้อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งเท่ากับลิเวอร์พูลหรือเชลซีตอนนี้ แต่ยังถือว่าดีในภาพรวม ด้วยสนามใหญ่ที่สุด รายได้วันแข่งขันสูงสุด และเป็นแบรนด์ที่น่าดึงดูดที่สุด”

